หนึ่งในเหตุผลที่เราลังเล ไม่ตัดสินใจ ไม่ take action เพราะเรากลัวว่าเราจะคิดผิด เราเลยพยายามรวบรวมข้อมูลให้มากที่สุด ด้วยความหวังว่า ถ้าเราเก็บข้อมูลมากพอ เราจะมั่นใจว่าเราไม่ไปผิดทางแน่ๆ แล้วเราค่อยตัดสินใจ
แน่นอนว่า ในการตัดสินใจครั้งสำคัญ เราคงไม่ทำแบบพอให้ผ่านไป แต่เราจะรู้ได้ยังไงว่า การที่เรามัวแต่รอ และ เก็บข้อมูลเพิ่มไปเรื่อยๆ เรากำลังเสียโอกาสอะไรไปรึป่าว
วันนี้ เรามาแนะนำหลักการ 3 ข้อ จากหนังสือเรื่อง Clear Thinking ของ Shane Parrish ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ Farnam Street และ Podcast: The Knowledge Project ซึ่งหลักการ 3 ข้อนี้ จะช่วยให้เรา “รู้” ได้ว่า เมื่อไหร่เราควรจะต้องหยุดคิด แล้วตัดสินใจ และ ลงมือทำ
แต่ก่อนที่เราจะคุยกันถึงหลักการ 3 ข้อนั้น เรามาแบ่ง เรื่องที่เราต้องตัดสินใจ ออกเป็นประเภท ตาม ขนาดของผลกระทบ (consequentiality) และ ความยากง่ายในการเปลี่ยนใจ (reversibility)
Reversibility vs Consequentiality
การตัดสินใจที่มีผลกระทบกับชีวิตของเราเยอะ ไม่ว่าจะในระยะสั้น หรือ ระยะยาว เราเรียกมันว่าเป็นการตัดสินใจที่มี high consequentiality
การตัดสินใจที่เราสามารถเปลี่ยนใจในภายหลังได้ง่าย เราเรียกมันว่าเป็นการตัดสินใจที่มี high reversibility
ยกตัวอย่างเช่น
- การตัดสินใจแต่งงาน หรือ การมีลูก เป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตเรา (high consequentiality) และเปลี่ยนใจทีหลังก็ลำบาก หรือ ทำไม่ได้เลย (low reversibility)
- หรือในทางตรงกันข้าม การตัดสินใจเคสโทรศัพท์มือถือ หรือ เลือกที่จอดรถ มีผลต่อชีวิตโดยรวมของเราน้อยมาก (low consequentiality) และ เราก็เปลี่ยนใจทีหลังได้ง่าย (high reversibility)

หลักการ 3 ข้อ ที่ช่วยบอกว่า เราควรตัดสินใจตอนนี้ หรือ รออีกหน่อย
💡The ASAP Principle
ASAP หรือ ที่เราเรียกกันเต็มๆว่า as soon as possible บอกเราว่า เราควรจะตัดสินใจให้เราที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ “ถ้า” การเปลี่ยนใจทีหลัง นั้นมีราคาถูก
เรากำลังพูดถึงการตัดสินใจที่อยู่ในกลุ่ม ผลกระทบต่ำ (low consequentiality) ยิ่งคิดนาน ยิ่งเสียทั้งเวลา เสียทั้งพลังงานจะเลือกทางไหนก็ไม่ต่างกัน เพราะงั้น เราก็แค่ just choose หรือ เลือกๆไปเถอะ ถ้าไม่ถูกใจ ก็ค่อยเลือกใหม่
แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าเป็นการตัดสินใจเรื่องสำคัญ หรือ การตัดสินใจที่ย้อนกลับไปไม่ได้แล้ว เราก็อยากจะมั่นใจว่าเราได้คิดอย่างรอบคอบแล้ว ไม่ได้พลาดอะไรที่สำคัญไป และนั่นก็คือเวลาที่เราใช้หลักการข้อที่สอง
💡The ALAP Principle
ALAP หรือ ที่เราเรียกกันเต็มๆว่า as late as possible บอกเราว่า เราควรจะตัดสินใจให้ช้าที่สุด เท่าที่มันยังมีประโยชน์ที่จะดีเลย์การตัดสินใจออกไป “ถ้า” การเปลี่ยนใจทีหลัง นั้นมีราคาแพง
เรากำลังพูดถึงการตัดสินใจที่อยู่ในกลุ่ม ผลกระทบสูง (high consequentiality) และ เปลี่ยนใจทีหลังได้ยาก (low reversibility) เราต้องการที่จะ slow down และมั่นใจก่อนว่า เราไม่ได้ลืมคิดเรื่องอะไรไป หรือ แม้แต่กำลังแก้ปัญหาไม่ถูกจุดอยู่ เพราะการเปลี่ยนใจทีหลังนั้นทำได้ยาก
สิ่งที่ต้องระวังในการใช้ The ALAP Principle ก็คือ หลายๆครั้ง มันถูกเราใช้เป็นข้ออ้างในการ “ไม่ตัดสินใจ” เราเก็บข้อมูลเพิ่มขึ้น เราทำการวิเคราะห์เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่ได้เรียนรู้อะไรเพิ่มเติมจากข้อมูล หรือ การวิเคราะห์ใหม่ๆเลย ที่เราเรียกกันว่า analysis paralysis (ประมาณว่า เหมือนเป็นอัมพาตจากการวิเคราะห์ ทำให้เราไม่ได้ลงมือทำอะไรสักอย่าง)
คำถามคือ แล้วเราจะรู้ได้ยังไง ว่าเราควรใช้เวลาในการค่อยๆคิดต่อไป หรือเราควรจะตัดสินใจได้แล้ว?
เราจะใช้หลักการข้อที่ 3 เป็นไกด์ไลน์ในการช่วยบอกเราว่า เมื่อไหร่ เราควรจะตัดสินใจ
💡The STOP, FLOP, KNOW Principle
- Stop: เราควรหยุดคิด แล้วตัดสินใจ เมื่อเรารู้สึกว่า ข้อมูลที่เราเก็บเพิ่มขึ้น มันไม่ได้มีประโยชน์อีกต่อไป ซึ่งสัญญาณที่บอกเรา ว่าเราควรหยุดหาข้อมูล และ ตัดสินใจได้แล้วก็เช่น
- ในแต่ละทางเลือกที่เรากำลังพิจารณา เราบอกได้ทั้งข้อดี ข้อเสียของมันจากแง่มุมต่างๆ
- เราอาจจะเริ่มกำลังไปขอความเห็นจากคนที่ไม่เคยแก้ปัญหาในลักษณะเดียวกันมาก่อนด้วยซ้ำ
- หรือเมื่อเรารู้สึกว่า ข้อมูลใหม่ๆ ไม่ได้ทำให้เราเรียนรู้อะไรเพิ่มขึ้นเลย เหมือนวนอยู่ในลูปมากกว่า
- FLOP: First Loss Opportunity ตัดสินใจก่อนจะเริ่มเสียโอกาส ในการตัดสินใจเรื่องใหญ่ๆ เราอาจจะอยากรอ หรือ อยากมีเวลาคิดเพิ่มขึ้นอีกนิด หนึ่งในวิธีที่จะช่วยให้เราไม่ดีเลย์การตัดสินใจนานจนเกินไป ก็คือการตั้ง tripwire เอาไว้ ว่าถึงเวลาต้องตัดสินใจแล้ว เมื่อเรากำลังจะเริ่มเสียโอกาส หรือ เสียทางเลือกบางอย่างไป เราต้องไม่ลืมว่าใน The ALAP Principle เราดีเลย์การตัดสินใจของเราออกไป เพราะเราต้องการเก็บทางเลือกเอาไว้ เพราะฉะนั้น เมื่อทางเลือกของเราเริ่มหายไป (FLOP) ก็เป็นสัญญาณว่า เราต้องตัดสินใจได้แล้ว โดยใช้ข้อมูลเท่าที่เรามีในตอนนั้น
- Know: สุดท้าย เรารู้ว่า ถึงเวลาต้องตัดสินใจแล้ว เมื่อเรารับรู้ถึงข้อมูลบางอย่าง ที่ทำให้ทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเราชัดเจนขึ้นมา อาจจะเป็นความแน่นอนบางอย่างที่คลี่คลายออกมา หรืออาจจะเป็นความรู้สึกบางอย่างในใจ ที่ทำให้เรารู้ขึ้นมา ว่าควรเลือกทางไหน
สุดท้ายนี้ การรู้ว่าเราควรทำอะไร ไม่เท่ากับการลงมือทำสิ่งนั้น คนครึ่งค่อนโลกอาจจะรู้ว่า เราควรออกกำลังกายสม่ำเสมอ และ ควบคุมอาหาร เพื่อสุขภาพที่ดี แต่จะมีคนสักกี่เปอร์เซนต์ที่ทำตามสิ่งที่รู้ ทางเดียวที่เราจะสร้างการเปลี่ยนแปลงที่เราต้องการ ให้เกิดขึ่นมาได้ เราต้องลงมือทำ


Leave a comment