No brown M&Ms – Mental model ง่ายๆ ที่ช่วยเราตัดสินใจเรื่องคนได้ดีขึ้น

ปกติแล้ว พวกเรามีใครอ่านพวกตัวหนังสือเล็กๆในสัญญายาวเหยียด (ที่เราเรียกมันว่า fine print) แบบครบทุกตัวอักษรก่อนเซนต์ชื่อ หรือ click ‘I agree’ บ้างมั้ยคะ?

เชื่อว่า คนส่วนมาก จะทำคล้ายๆกัน คือ มองหาที่เซนต์ชื่อ หรือที่สำหรับ click ‘I agree’ เพื่อให้ผ่านขั้นตอนนี้ไปอย่างรวดเร็วที่สุด หลายๆครั้งเราก็ลงชื่อกันไปโดยไม่อ่าน แล้วมันก็ไม่ได้มีเรื่องร้ายแรงอะไรเกิดขึ้น

แต่ถ้าเราเป็น Organizer ที่จะเป็นผู้จัดคอนเสิร์ตให้ Van Halen วงร็อคชื่อดังจากอเมริกา การที่เราไม่อ่านรายละเอียดทุกอย่างในสัญญา นอกจากจะทำให้คอนเสิร์ตเราล่มได้แล้ว ยังอาจจะทำให้เราเสียเงินก้อนโตอีกด้วย

ถึงตอนนี้อาจจะมีขมวดคิ้ว หรี่ตา แล้วถามว่า “ทำไมนะ?” – เดี๋ยวเราจะมาเล่าให้ฟังกันค่ะ

พวกเราคงเคยได้ยินข่าวกอสซิปดาราหรือเซเลบชื่อดัง ว่าจะมีข้อเรียกร้องประหลาดๆ เวลาไปออกงาน กันใช่มั้ยคะ อย่างที่ Madonna มีข่าวลือว่า ขอให้เปลี่ยนฝาชักโครกใหม่ ในทุกที่ ที่ไปแสดง หรือที่ Selena Gomez ขอให้ทีมงานผู้ชายที่ชื่อ Justin ใช้ชื่ออื่น

วงร็อคชื่อดังอย่าง Van Halen ก็มีเหมือนกันค่ะ ในสัญญาของ Van Halen จะมีประโยคที่บอกว่า ผู้จัดจะต้องเตรียม ชอคโกแลต M&M ใส่ถ้วยเอาไว้หลังเวที แต่!!! ห้ามมี M&M สีน้ำตาลแม้แต่เม็ดเดียว ไม่งั้น คอนเสิร์ตอาจจะถูกยกเลิก และผู้จัดจะต้องจ่ายค่าชดเชยอีกด้วย

There will be no brown M&M’s in the backstage area, upon pain of forfeiture of the show, with full compensation

แล้วนี่ไม่ใช่แค่คำขู่ เพราะเคยมีคอนเสิร์ตที่ Colorado ที่โดนแคนเซิลไปแล้วจริงๆ เพราะ David Lee Roth นักร้องนำของวง เจอ M&M สีน้ำตาลในห้องแต่งตัว

อ่านมาถึงตรงนี้ เราอาจจะรู้สึกว่า พวกคนดังนี่ ชอบเรียกร้องอะไรงี่เง่าประหลาดๆ เพราะ M&M ทุกสี รสชาติมันก็เหมือนๆกันไปหมด

แต่จริงๆแล้ว เรื่องนี้ มันมีเบื้องลึกเบื้องหลังที่ลึกซึ้งกว่าการเป็นคนดังที่เรื่องมากไปเยอะเลยค่ะ Roth เคยอธิบายไว้ใน memoir ของเค้า ถึงเหตุผลที่ทางวงต้องทำแบบนี้ ไม่ใช่เพราะความงี่เง่า แต่เป็นเหตุผลเรื่องความปลอดภัย

คอนเสิร์ตของ Van Halen จะต้องใช้อุปกรณ์ต่างๆสำหรับ performance เยอะกว่าวงอื่นๆมาก ถ้าวงปกติใช้รถบรรทุก 18 ล้อ 3 คัน วง Van Halen ก็ต้องใช้ถึง 9 คัน และยังมีอุปกรณ์ต่างๆมากมาย ที่เกิดความผิดพลาดขึ้นได้ตลอด ทั้ง human error หรือ technical error

การที่ผู้จัดใส่ M&M สีน้ำตาลมาในถ้วย แปลว่า ผู้จัดรายนั้น ไม่ได้อ่านสัญญา ซึ่งเป็นตัวชี้วัดตัวนึง ที่แสดงให้เห็นถึง ความไม่ใส่ใจในรายละเอียด และความไม่ใส่ใจในรายละเอียดนี้ อาจจะทำให้เกิดข้อผิดพลาดทาง production ขึ้นมา และกลายเป็นอุบัติเหตุร้ายแรงได้

สำหรับผู้จัดรายนั้นที่ Colorado พอ Roth เจอ M&M สีน้ำตาล ทางวงเลยต้องไล่เช็คทุกส่วนของการเตรียมการ ก่อนจะไปพบว่า ผู้จัดรายนี้ ไม่ได้อ่านรายละเอียดเกี่ยวกับการรับน้ำหนัก และถ้าเอาไปใช้จริงในการแสดง ตัวเวทีก็จะร่วงลงไปใน arena ที่จัดแสดง

No brown M&M เลยกลายเป็นหนึ่งใน mental model ที่ถูกเอาไปใช้อย่างกว้างขวาง อย่างเคสที่เป็นข่าวโด่งดังไปทั่วโลก เมื่อครู รร.มัธยมที่ชื่อ Donelan Andrews อ่าน fine print ของประกันการเดินทาง จนเจอประโยคที่บริษัทประกันจงใจใส่เอาไว้ว่า คนแรกที่อ่านเจอข้อความนี้ จะได้รับเงิน 10,000 USD.

รู้แบบนี้ แล้วเราจะเอา ‘No brown M&Ms’ model ไปใช้ประโยชน์ได้ยังไงบ้าง?

  • Hiring decision: ถ้าเรากำลังประกาศรับสมัครงาน ลองเพิ่มประโยคเข้าไปในประกาศรับสมัครงาน ให้ผู้สมัคร บอกหนังสือเล่มโปรดของตัวเอง มาใน cover letter ด้วย เราก็จะรู้ว่า ใครอ่านหรือไม่อ่านประกาศ
  • Production testing: ทีม manufacturing อาจจะจงใจใส่ error หรือ anomalies บางอย่างเข้าไปในผลิตภัณฑ์ เพื่อดูว่า team QC จะตรวจเจอรึป่าว

ถือเป็น mental model ที่เอาไปปรับใช้ได้ค่อนข้างหลากหลายนะคะ ขึ้นกับความสร้างสรรค์ของเราเลย ถือเป็น mental model ที่มีประโยชน์มากตัวนึง

มุมมองของแอดกับการนำ mental model มาใช้

  1. ส่วนตัวแอดคิดว่า mental model มันก็เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ตัวหนึ่ง ที่ช่วยลดทั้งพลังงาน และ เวลา ที่ต้องใช้ในการตัดสินใจ และช่วยให้เราตัดสินใจได้ดีขึ้นในระดับที่เรียกว่า good enough decision
  2. แต่!! เราเองก็ต้องเข้าใจว่า การได้คำตอบแบบ ‘good enough’ มันเพียงพอรึเปล่า สำหรับเรื่องที่เรากำลังตัดสินใจอยู่ เพราะการใช้ mental model ก็เป็นการใช้ทางลัดในการตัดสินใจอีกรูปแบบหนึ่ง ที่มีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบจาก biases ต่างๆ
  3. ในเคสของ Van Halen การใช้เทคนิคนี้ อาจทำให้ทางวงพลาดการร่วมงานกับผู้จัดฝีมือดีที่แค่บังเอิญลืมอ่านประโยคเรื่อง M&M ซึ่งทางวงอาจจะมองว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะก็ยังมีคนฝีมือดีคนอื่น ที่ใส่ใจรายละเอียดอยู่ แต่ในทางกลับกัน การไม่คัดกรองผู้จัดที่ไม่ใส่ใจรายละเอียดแล้วเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้มากกว่า

แอดเลยคิดว่า สิ่งที่สำคัญคือ การรู้ว่าตัวเราเองต้องการอะไร และ กำลังทำอะไรอยู่ เพื่อจะได้เลือกใช้เครื่องมือในการตัดสินใจที่เหมาะสมกับแต่ละสถานการณ์ได้ (mindfulness ต้องมาแล้วว)

source


Discover more from Decision Booster

Subscribe to get the latest posts sent to your email.